วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

กาพย์เห่เครื่องคาวหวาน

ประวัิกาพย์เห่เรือกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน(และว่าด้วยงานนักขัตฤกษ์) เป็นกาพย์เห่เรือที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับอาหารคาวหวานในวัง โดยใช้การบรรยายเนื้อหาเยี่ยงนิราศ คือการรำพึงรำพันถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี โดยนำเอาชื่ออาหาร ลักษณะ ส่วนประกอบ หรือความสัมพันธ์มาเชื่อมโยงเข้ากับการรำพึงรำพันนั้น นอกจากนี้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ยังเป็นวรรณคดีที่มุ่งเน้นความงดงามไพเราะของวรรณคดีเหนือสิ่งอื่นใด มีการใช้โวหารและภาษาที่สละสลวย ตลอดจนการอุปมาเพื่อสื่อถึงรสชาติและฝีมือในการปรุงอาหารของนางอันเป็นที่รัก และการนำชื่ออาหารซึ่งสื่อถึงความในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในความสุขจากการใกล้ชิดหรือโศกเศร้าจากการพรากจากนางอันเป็นที่รักได้อย่างกลมกลืน ชื่ออาหารหลายชนิดในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เป็นอาหารโบราณที่หารับประทานได้ยาก เนื่องจากมีวิธีการปรุงที่ยาก และต้องใช้ความประณีตในการทำเป็นอย่างมาก เช่นหรุ่ม ล่าเตียง เป็นต้น ซึ่งจากวรรณคดีเรื่องนี้ก็ทำให้มีผู้นำอาหารโบราณหลายชนิดมารื้อฟื้นฝึกปรุงใหม่กันอีกด้วย




หลักฐานการเห่เรือในประเทศไทย โดย นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบลูย์หวังเจริญ

แม้ว่าการเห่เรือจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเสด็จพระราชดำเนินโดย กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคซึ่งได้ ปรากฏหลักฐานในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในพระราชพิธีลอยพระประทีปก็ตาม แต่ปรากฏหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในวรรณกรรมที่แต่ง ขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ทำให้สันนิษฐานว่า การเห่เรือน่าจะมีมาก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเท่าที่ปรากฏหลักฐานแล้วเท่านั้น คือ
สมัยอยุธยา

สมัยอยุธยาตอนต้น ปรากฏหลักฐานในวรรณกรรมเรื่อง ลิลิตยวนพ่าย ซึ่งได้บรรยายถึงการยกกระบวนพยุหยาตราทัพของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทั้งทางสถลมารค และชลมารคอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะทางชลมารค ได้พรรณนากระบวนทัพ ความว่า

นอกจากนั้น ยังมีความบางตอนที่แสดง ลักษณะเสียงที่ปรากฏในกระบวนพยุหยาตรา ทัพเหมือนอย่างการเห่เรือ แต่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากปัจจุบันอยู่บ้างคือ มีดนตรีจำพวกพิณพาทย์เข้ามาประกอบด้วยดูเหมือนกับการขับร้องประกอบดนตรี แต่ก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นลักษณะของการเห่เรือ คือ

สมัยอยุธยาตอนปลาย ได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคและชลมารค อย่างสม่ำเสมอทุกรัชกาลดังปรากฏหลักฐาน การบันทึกรายละเอียดไว้ชัดเจนในต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเรื่อง กระบวนพยุหยาตราเพชรพวงรัชกาลสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช ซึ่งบันทึกขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๖ โดยบอก รายละเอียดว่าคัดมาจากฉบับของเก่าครั้ง พ.ศ. ๒๒๑๙ แม้จะไม่ได้บันทึกรายละเอียดปลีกย่อยแสดงการเห่เรือไว้เลยก็ตาม แต่หากเป็นกระบวนพยุหยาตราไปในการพระราชกุศล เหล่าทหารผู้แห่แหนย่อมมีความรื่นเริงเบิก บานใจในบุญกุศลที่ได้โดยเสด็จด้วยก็จะมีการเห่เรือเพื่อแสดงแสนยานุภาพทางเรืออย่างเอิกเกริก ไม่เพียงแต่เท่านั้น กระบวนพยุหยาตราทัพทางชลมารค
ครั้งไปตีเมืองเชียงใหม่ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากบันทึกคำให้การขุนหลวงหาวัด ก็กล่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ในกระบวนเรือทำหน้าที่ให้จังหวะสัญญาณในการพายเรือและเห่เรือด้วย ดังความว่า

“...ยังเกณฑ์ถือฟูกสำหรับตีเป็นสำคัญนั้นนั่งไปน่าเรือสอง ท้ายเรือสอง เปนสี่คน สำหรับเป็นสัญญาณพายถวายลำ สำคัญเสียงฟูกเป็นสัญญาณเมื่อจะพายกรายก็ดี พายนกบินก็ดี จะเห่โห่ก็ดี มิว่าพายกรายพายไหว เมื่อได้ฤกษ์จะออกจากที่คนตีฟูกก็เยื้องทำท่าออกนั้นทีเป็นเพลงมา...”

นอกจากนั้นยังมีวรรณคดีสำคัญที่แต่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือสมุทรโฆษคำฉันท์ กล่าวถึงการละเล่นแข่งเรือพระที่นั่งว่า

“ถ้อยขึ้นถ้องแขงมีมี่ ไชยเมื่อถึงที่ จะใกล้ที่แดนยอพาย”

คำประพันธ์นี้แสดงภาพชัดเจน สอดคล้องกับธรรมเนียมการเห่เรือในปัจจุบัน คือ เมื่อเรือเข้าถึงจุดหมายฝีพายจะโห่ร้องแสดงความยินดีว่า “ไชย...” ซึ่งเป็นลักษณะของการเห่เรือแบบ สวะเห่” ถือเป็นทำนองเห่สุดท้ายเป็นการส่งสัญญาณให้ฝีพายทราบว่า เมื่อขึ้นทำนองเห่นี้จะต้องเก็บพายทันที วรรคสุดท้ายของสวะเห่มีเนื้อร้องว่า “ศรีชัยแก้วพ่อเอ๋ย” ลูกคู่รับว่า “ชัยแก้วพ่ออา”

บทเห่เรือที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาอีกบทหนึ่ง ที่นับเป็นบทเห่เรือที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในการเห่เรือพระราชพิธีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันคือ บทเห่เรือพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร แต่ก็มีความที่ชี้ให้เห็นว่าน่าจะมีการเห่เรือในยุคนั้นแล้ว คือ “พลพาย กรายพายทอง ร้องโห่เห่โอ้เห่มา”

อย่างไรก็ตาม ได้ปรากฏหลักฐานในวรรณกรรมสมัยอยุธยาหลายเรื่องว่ามีการจัดริ้วกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี เสด็จประพาสต้อนรับราชทูตต่างประเทศตลอดจนประกอบการพระราชพิธีต่างๆ ที่จัดขึ้นในรอบปี ได้แก่ พระราชพิธีอาศวยุธแข่งเรือและพระราชพิธีไล่เรือ

สมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์มีวรรณคดีที่ได้ กล่าวถึงกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค คือ ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวงนิพนธ์โดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและทางชลมารค พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ แต่วรรณคดีทั้งสองเรื่องนี้ มิได้กล่าวถึงการเห่เรือเลย และแม้แต่หนังสือเรื่องอื่นๆ ที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนรัชกาลที่ ๔ ก็มิได้กล่าวถึงเห่เรือกระบวนหลวงด้วยเช่นกัน

บทเห่ในสมัยรัตนโกสินทร์ที่จัดว่าเป็นยอดของบทเห่ คือ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน และว่าด้วยงานนักขัตฤกษ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บทเห่เรือนี้ใช้สำหรับเห่เรือเสด็จประพาส

ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ บทเห่เรือ ๔ บท ใช้เป็นบท
เห่เรือเล่น และเห่เรือหลวง สืบทอดเป็นประเพณีต่อมา คือ นอกจากจะใช้สำหรับเห่ถวายเวลาเสด็จลอยพระประทีปแล้วยังนำมาใช้เห่กระบวนพยุหยาตราถวายผ้าพระกฐินด้วย จนกลายเป็นประเพณีพระราชพิธีสืบต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือด้วยพระองค์เอง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ทรงพระนิพนธ์ขึ้นใช้ในพระราชพิธีด้วย

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏหลักฐานว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคคราวฉลอง ๑๕๐ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยใช้บทเห่เรือพระนิพนธ์ ในกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ที่แต่งทูลเกล้าฯ ถวาย หลังจากนั้นการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคก็ห่างหายไปนานถึง ๓๐ ปี เนื่องจากเป็นพระราชพิธีใหญ่และสิ้นเปลืองงบประมาณ ประกอบกับเรือพระราชพิธีหลายลำชำรุดและเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา จวบจนรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นใหม่ ใช้บทเห่เรือของเก่าและที่แต่งขึ้นใหม่เพื่อใช้ในโอกาสสำคัญบทเห่เรือในปัจจุบันจึงมีหลายบทซึ่งแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ และพัฒนาการของบทเห่เรือได้เป็นอย่าง